แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะบัญญัติให้บุคคลได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกันแต่ก็ยังไม่มีกระบวนการตามกฎหมายในการปกป้องคุ้มครองสิทธิสตรีและบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ รวมทั้งผู้ด้อยโอกาสในการรับบริการต่างๆของรัฐหรือมาตรการที่ช่วยป้องกันการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศที่ชัดเจนส่งผลให้บุคคลที่ถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศไม่ได้รับความคุ้มครองและไม่ได้รับความเป็นธรรมเท่าที่ควร
เพื่อให้มีกฎหมายที่กำหนดมาตรการคุ้มครองและป้องกันไม่ให้มี การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศจึงประกาศใช้พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558
4 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2558
F มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2558
ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “ประกาศคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริม ความเท่าเทียมระหว่างเพศ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการอนุมัติการใช้เงินและทรัพย์สินของกองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ”
✎ ฉบับแรก ลงวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2560
. ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2561
2. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการติดตามและประเมินผลโครงการ (ชุดแรก)
– เพื่อติดตามประเมินผล รายงานผลการติดตามโครงการที่ขอรับเงินสนับสนุน ปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะ ให้คณะกรรมการบริหารกองทุนทราบ
ประกาศฯ (ฉบับ update ล่าสุด) แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2565
✎ ฉบับที่ 4 ลงวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2565
4 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2565
คณะอนุกรรมการติดตามและประเมินผลโครงการ
หน้าที่และอำนาจ
– พิจารณากลั่นกรองโครงการที่ขอรับเงินสนับสนุนตามประกาศฯ ก่อนเสนอคณะกรรมการบริหารกองทุน
– ประสานผู้ขอรับเงินสนับสนุน ชี้แจงรายละเอียด/ข้อเท็จจริงเพิ่มเติม
– รวบรวม ปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงแก้ไขปัญหาในการดำเนินงานต่อคณะกรรมการบริหารกองทุน
– อื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการบริหารกองทุนมอบหมาย
หน้าที่และอำนาจ
– วางแผน และติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการที่ได้รับเงินสนับสนุน
– จัดทำเครื่องมือ วิเคราะห์และประมวลผลการติดตามโครงการที่ได้รับเงินสนับสนุน
– รายงานผลการติดตามและประเมินผล ปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะการดำเนินโครงการที่ได้รับเงินสนับสนุนต่อคณะกรรมการบริหารกองทุนทราบอย่างต่อเนื่อง
– อื่นๆ ตามที่คณะกรรมการบริหารกองทุนมอบหมาย
การกระทำหรือไม่กระทำการใด อันเป็นการแบ่งแยก กีดกัน หรือจำกัดสิทธิประโยชน์ใด ๆ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม โดยปราศจากความชอบธรรม เพราะเหตุที่บุคคลนั้นเป็น เพศชาย หรือ เพศหญิง หรือ มีการแสดงออกที่แตกต่างจากเพศโดยกำเนิด
R กระทรวง ทบวง กรม ส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม
R ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น
R รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน
R หน่วยงานของรัฐสภา ศาล องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ องค์กรอัยการ
R ทุนหมุนเวียน (ที่มีฐานะเป็นนิติบุคคล)
R สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ
R หน่วยงานอื่นของรัฐ
ลักษณะโครงการที่ไม่สนับสนุน
T มีลักษณะซ้ำซ้อนในกลุ่มเป้าหมายและพื้นที่ รวมทั้งภารกิจที่ภาครัฐดำเนินการครอบคลุมแล้ว
T มีการศึกษาดูงานที่ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์โครงการ
T แข่งขันกีฬา พิธีมอบรางวัลต่าง ๆ
T ขอรับการสนับสนุนเป็นค่าวัสดุและค่าใช้จ่ายสำนักงาน
T มีการจ้างงานในลักษณะการจ่ายเป็นเงินเดือน
T เป็นการประชุมภายในของสมาชิกหน่วยงาน/องค์กร
T มีลักษณะเป็นการฝึกอาชีพหรือสร้างงานสร้างรายได้
T ขอรับการสนับสนุนเพื่อนำไปจัดตั้งกลุ่มหรือหน่วยงาน/องค์กร
R จำเป็น R ประหยัด R คุ้มค่า
R เหมาะสมกับสถานที่ กลุ่มเป้าหมาย และกิจกรรม
R ตามหลักเกณฑ์การพิจารณาของกองทุน กำหนดภายใต้ระเบียบกระทรวงการคลัง
รายการค่าใช้จ่ายที่ไม่สนับสนุน
T ค่าตกแต่งสถานที่
T ค่าจ้างเหมาจัดกิจกรรม ค่าจ้างการแสดงในพิธีเปิด – ปิดงาน
T ค่าของที่ระลึกวิทยากร หากมีการจ่ายค่าตอบแทนวิทยากรแล้ว
T ค่าเงินรางวัล/ของรางวัล
T ค่าจัดทำเสื้อ
T ค่าวัสดุสำนักงาน
T ค่าเช่าที่ดิน อาคาร สิ่งก่อสร้าง ครุภัณฑ์ต่าง ๆ
T ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ไม่ระบุรายละเอียด
ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณของกองทุน คือ ภายในวันที่ 30 กันยายน ของทุกปี
1) เอกสารประกอบการยื่นแบบ กทพ.1
หมายเหตุ : ผู้มีอำนาจลงนาม ต้องรับรองสำเนาถูกต้องสำเนาเอกสารทุกรายการ ยกเว้นรายการที่ 5 และ 6
2) เอกสารแนบท้ายแบบ กทพ.2
หมายเหตุ : กรณีผู้ขอรับเงินสนับสนุน ไม่ได้ขอรับเงินโอนเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย ผู้ขอรับเงินสนับสนุน จะต้องรับผิดชอบค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการในการโอนเงินต่างธนาคาร โดยไม่มีเงื่อนไข
3) เอกสารประกอบการรายงานผลการดำเนินงานตามแบบ กทพ.3
1) ยื่นด้วยตนเอง หรือ ทางไปรษณีย์ลงทะเบียน
2) ยื่นผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์
(2) หน่วยงาน/องค์กรที่ตั้งอยู่ส่วนภูมิภาค ให้ยื่นต่อสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดเดียวกันกับผู้ขอรับเงินสนับสนุน ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวที่ผู้ขอรับเงินสนับสนุน มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวนั้น หรือสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพที่ผู้ขอรับเงินสนับสนุนมีภูมิลำเนาที่อยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพนั้น เพื่อพิจารณาเบื้องต้นพร้อมเสนอความเห็นก่อนส่งให้คณะกรรมการบริหารกองทุนพิจารณา
การยื่นคำขอตามเขตพื้นที่รับผิดชอบ
“ระบบ” หมายถึง ระบบขอรับเงินสนับสนุนโครงการ ในเว็บไซต์ http://project.gepf.dwf.go.th
“ผู้ใช้งาน” หมายถึง หน่วยงาน/องค์กรที่สมัครใช้งานระบบขอรับเงินสนับสนุนโครงการ
1) ตรวจสอบคุณสมบัติของหน่วยงาน/องค์กรของตนเอง ว่าเป็นไปตามที่กองทุนกำหนดในการขอรับเงินสนับสนุนหรือไม่ 2) ผู้ใช้งานต้องส่งเอกสารประกอบในขั้นตอนการสมัครใช้งานระบบพร้อมกับเอกสารอื่น ๆ เพื่อให้กองทุนตรวจสอบ ดังนี้
(1) หลักฐานการได้รับอนุญาตหรืออนุมัติให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ผู้ใช้งานของหน่วยงาน/องค์กร
(2) สำเนาบัตรประชาชน หรือสำเนาบัตรข้าราชการ ของผู้อนุญาตหรือผู้อนุมัติ พร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง
(3) สำเนาบัตรประชาชน หรือสำเนาบัตรข้าราชการ ของผู้ได้รับอนุญาตหรืออนุมัติให้เป็น ผู้ใช้งานของหน่วยงาน/องค์กรของหน่วยงาน/องค์กร พร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง
หมายเหตุ : 1. กรณีผู้ปฏิบัติหน้าที่ผู้ใช้งานเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของหน่วยงาน/องค์กร หรือเป็นผู้มีอำนาจลงนาม ให้แนบเพียงรายการที่ (2)
2. การดำเนินการใด ๆ ในระบบของผู้ใช้งาน ถือเสมือนหน่วยงาน/องค์กรเป็นผู้ดำเนินการ
3. กองทุนขอสงวนสิทธิชะลอการพิจารณาสนับสนุนงบประมาณ กรณีส่งเอกสารไม่ครบถ้วนหรือขอเอกสารเพิ่มเติมจนกว่าจะได้รับเอกสารครบถ้วน
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการจะต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ประหยัด คุ้มค่า เหมาะสมกับสถานที่ และเกิดความคุ้มครองในภารกิจภาครัฐ โดยพิจารณาตามแนวทางที่คณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศกำหนด โดยแบ่งโครงการ เป็น 3 ประเภท ดังนี้
ประเภทที่ 1 การประชุมเชิงปฏิบัติการ/อบรม/สัมมนา
ประเภทที่ 2 การรณรงค์การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์
ประเภทที่ 3 การศึกษาวิจัย/การจัดทำแผน/การรวบรวมข้อมูล
“การฝึกอบรมประเภท ก” หมายความว่า การฝึกอบรมที่ผู้รับการฝึกอบรมเกินกึ่งหนึ่งเป็นบุคลากรของรัฐ ซึ่งเป็นข้าราชการตำแหน่งประเภททั่วไประดับทักษะพิเศษ ข้าราชการตำแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญและระดับทรงคุณวุฒิ ข้าราชการตำแหน่งประเภทอำนวยการระดับสูง ข้าราชการตำแหน่งประเภทบริหารระดับต้นและระดับสูง หรือตำแหน่งเทียบเท่า
“การฝึกอบรมประเภท ข” หมายความว่า การฝึกอบรมที่ผู้รับการฝึกอบรมเกินกึ่งหนึ่งเป็นบุคลากรของรัฐ ซึ่งเป็นข้าราชการตำแหน่งประเภททั่วไประดับปฏิบัติงาน ระดับชำนาญงานและระดับอาวุโส ข้าราชการตำแหน่งประเภทวิชาการระดับปฏิบัติการ ระดับชำนาญการและระดับชำนาญการพิเศษ ข้าราชการตำแหน่งประเภทอำนวยการระดับต้น หรือตำแหน่งเทียบเท่า
“การฝึกอบรมบุคคลภายนอก” หมายความว่า การฝึกอบรมที่ผู้เข้ารับการฝึกอบรมเกินกึ่งหนึ่งมิใช่บุคลากรของรัฐ
“ผู้เข้ารับการฝึกอบรม” หมายความรวมถึง บุคลากรของรัฐหรือบุคลากรซึ่งมิใช่บุคลากรของรัฐ ที่เข้ารับการฝึกอบรมตามโครงการหรือหลักสูตรการฝึกอบรม
ผู้มีอำนาจในการพิจารณาเบื้องต้น ได้แก่ ผู้อำนวยการกลุ่มบริหารกองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ หรือผู้อำนวยการศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัว หรือ ผู้อำนวยการสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ หรือ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด โดยมีการพิจารณาเบื้องต้น ดังนี้
(ก) มีสำนักงาน (ภูมิลำเนา) ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของหน่วยงานพิจารณาเบื้องต้น
(ข) หน่วยงานของรัฐ ไม่ต่ำกว่าระดับกองหรือเทียบเท่า
(ค) เป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้น โดยตราเป็นกฎหมาย เช่น พระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง
(ง) มีผลงานหรือวัตถุประสงค์ในการดำเนินกิจการ หรือมีโครงการเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ หรือคุ้มครองป้องกัน ส่งเสริมการศึกษา การวิจัย การเผยแพร่ความรู้ เกี่ยวกับการป้องกันไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ
(จ) มีกฎหมาย กฎ ระเบียบ ประกาศ คำสั่งหรือข้อบังคับ แต่งตั้งเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด หรือมอบอำนาจ ให้ปฏิบัติราชการแทน โดยมีขอบเขตหน้าที่ความรับผิดชอบ เช่น การสั่งการ การอนุญาต การอนุมัติ การปฏิบัติราชการ การควบคุมราชการ ของหน่วยงานนั้น ๆ หมายเหตุ: หน่วยงานอื่นของรัฐ ตรวจสอบตามมาตรา 3 และ มาตรา 3/1 แห่งพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 พ.ศ. 2540
หมายเหตุ: หน่วยงานอื่นของรัฐ ตรวจสอบตามมาตรา 3 และ มาตรา 3/1 แห่งพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 พ.ศ. 2540
(2.1) จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล หรือได้รับการรับรองเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์หรือองค์กรสวัสดิการชุมชน ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม
(ก) มีสำนักงาน (ภูมิลำเนา) ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบ
(ข) เป็นหน่วยงานที่ยังดำเนินกิจการอยู่เป็นปัจจุบัน และยังไม่ได้ยกเลิก หรือเพิกถอนการจดทะเบียน
(ค) มีระบบการบริหารและระบบการเงินการบัญชี
(ง) มีผลงานหรือวัตถุประสงค์ในการดำเนินกิจการ หรือมีโครงการเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ หรือคุ้มครองป้องกัน ส่งเสริมการศึกษา การวิจัย การเผยแพร่ความรู้ เกี่ยวกับการป้องกันไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติ โดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ
(2.2) ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล และไม่ได้รับการรับรองเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์หรือองค์กรสวัสดิการชุมชน (กรณีชมรมเป็นผู้ขอรับเงินสนับสนุน)
(ก) มีสำนักงาน (ภูมิลำเนา) ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบ
(ข) มีส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐรับรองการจัดตั้ง และมีผลงานหรือวัตถุประสงค์ในการดำเนินกิจการ หรือมีโครงการเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ หรือคุ้มครองป้องกัน ส่งเสริมการศึกษา การวิจัย การเผยแพร่ความรู้ เกี่ยวกับการป้องกันไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ
(ค) มีระเบียบ/ข้อบังคับชมรม ระบบการบริหาร และระบบการเงินการบัญชี
(จ) มีรายงานการประชุม ที่แสดงมติให้ขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุน โดยมอบอำนาจให้ประธานชมรม หรือบุคคลใดเป็นผู้แทนในการลงนามผูกพันในนามชมรม และกรรมการทุกคนลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐาน
(1) ลักษณะโครงการที่กองทุนสนับสนุนงบประมาณ
(2) ตรวจสอบแบบฟอร์มที่ใช้และเอกสารประกอบการยื่นแบบ กทพ.1
มีการกรอกข้อมูลตามแบบที่กำหนด (แบบ กทพ. 1) และมีเอกสารแนบครบถ้วน
เอกสารประกอบการยื่นแบบ กทพ.1 ให้แนบมาพร้อมโครงการที่เสนอขอรับการสนับสนุน มีดังนี้
หมายเหตุ : ผู้มีอำนาจลงนาม ต้องรับรองสำเนาถูกต้องสำเนาเอกสารทุกรายการ ยกเว้นรายการที่ 5 และ 6
2.2 การพิจารณาเบื้องต้น
ระบบจะให้เจ้าหน้าที่เลือกหัวข้อในการประเมินโครงการประกอบด้วย
1) พิจารณาคุณสมบัติผู้ขอรับเงินสนับสนุน
กรณีหน่วยงาน/องค์กรมีความจำเป็น ไม่สามารถทำสัญญาฯ ณ ที่ทำการกองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศได้ สามารถแจ้งความประสงค์ขอทำสัญญาฯ ณ ที่ทำการของหน่วยงาน ดังนี้
Ø ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัว (ที่ผู้ขอรับเงินสนับสนุนมีภูมิลำเนาอยู่) หรือ
Ø สถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ (ที่ผู้ขอรับเงินสนับสนุนมีภูมิลำเนาอยู่) หรือ
Ø สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (ที่ผู้ขอรับเงินสนับสนุน
มีภูมิลำเนาอยู่)
ทั้งนี้ ควรมีหนังสือแจ้งกำหนดวันทำสัญญารับเงินสนับสนุน ไม่น้อยกว่า 15 วันก่อนวันเริ่มดำเนินกิจกรรมโครงการ
เช่น … มีกำหนดวันดำเนินกิจกรรมโครงการ ระหว่างวันที่ 23 – 24 สิงหาคม 2566 ผู้ขอรับเงินควรมีหนังสือแจ้งกำหนดวันทำสัญญาและวันดำเนินกิจกรรมโครงการให้กองทุนทราบไม่เกินวันที่ 8 สิงหาคม 2565
*** ข้อควรระวัง การกำหนดวันดำเนินกิจกรรมโครงการต้องสอดคล้องกับที่ระบุไว้ในโครงการ เช่น ในโครงการระบุห้วงระยะเวลาดำเนินโครงการ ระหว่างเดือนพฤษภาคม ถึงสิงหาคม 2566 จะกำหนดวันดำเนินกิจกรรมโครงการนอกเหนือระยะเวลาดังกล่าวไม่ได้
หมายเหตุ : ผู้มีอำนาจลงนาม ต้องรับรองสำเนาถูกต้อง ในเอกสารฉบับสำเนาทุกฉบับ
กรณีที่มีการมอบอำนาจ
1. หนังสือมอบอำนาจ
R ต้องทำเป็นหนังสือระบุชื่อบุคคลที่มีความสามารถในการรับมอบอำนาจให้ชัดเจน
R ลงลายมือชื่อทั้งผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจ
R ลงลายมือชื่อพยานอย่างน้อยสองคน
R ปิดอากรแสตมป์
– มอบอำนาจให้กระทำการครั้งเดียว ปิดอากรแสตมป์ จำนวน 10 บาท หรือ
– มอบอำนาจให้กระทำการมากกว่าครั้งเดียว ปิดอากรแสตมป์ จำนวน 30 บาท
2. คำสั่งมอบอำนาจ (กรณีหน่วยงานภาครัฐ) ให้ดำเนินการตามระเบียบ/ข้อบังคับ ของต้นสังกัดหน่วยงาน
เมื่อลงนามในสัญญารับเงินสนับสนุนแล้ว กลุ่มบริหารกองทุน จะดำเนินการโอนเงินผ่านระบบ KTB Corporate Online เข้าบัญชีธนาคารของผู้ขอรับเงินสนับสนุนในวันที่ ลงนามในสัญญาเสร็จสมบูรณ์ ถูกต้อง และครบถ้วน แต่ในกรณีผู้ขอรับเงินสนับสนุนไม่ได้ขอรับเงินโอนเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย ผู้ขอรับเงินสนับสนุนจะต้องรับผิดชอบค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการโอนเงินต่างธนาคาร โดยไม่มีเงื่อนไข โดยที่ ผู้ขอรับเงินสนับสนุนจะได้รับเงินโอน ภายใน 2 วันทำการ
ผู้ขอรับเงินต้องส่งใบเสร็จรับเงินไปยังกองทุน ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับเงิน
ข้อควรทราบและยึดถือปฏิบัติ
ห้ามเปลี่ยนแปลงรายการและวงเงินที่ได้รับอนุมัติ
ห้ามเปลี่ยนแปลงวัน เวลา สถานที่ดำเนินโครงการ
– กรณีมีความจำเป็น ต้องเปลี่ยนแปลงวัน เวลา สถานที่ดำเนินโครงการ
หรือขอขยายระยะเวลาดำเนินโครงการ ต้องทำหนังสือขออนุมัติ
จากประธานกรรมการบริหารกองทุน และต้องได้รับการอนุมัติก่อนทุกครั้ง
กรณีผู้ขอรับเงินสนับสนุนไม่ปฏิบัติตามสัญญารับเงินสนับสนุนข้อใด เมื่อผู้ให้เงินสนับสนุนมีหนังสือ แจ้งให้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามสัญญาแล้ว แต่ผู้ขอรับเงินสนับสนุนไม่ปฏิบัติภายในระยะเวลาที่กำหนด ผู้ให้เงินสนับสนุนมีสิทธิบอกเลิกสัญญาทันที และผู้ขอรับเงินสนับสนุนต้องชดใช้เงินสนับสนุน คืนตามจำนวนเงินที่ได้รับทั้งหมด พร้อมด้วยดอกเบี้ย 15% ต่อปี นับแต่วันบอกเลิกสัญญา และ ผู้ให้เงินสนับสนุนมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากผู้ขอรับเงินสนับสนุนอีกด้วย
(1) ผู้ขอรับเงินสนับสนุนต้องรายงานผลการดำเนินโครงการตาม แบบ กทพ. 3 และรายงานการใช้จ่ายเงินสนับสนุนให้กองทุนพร้อมส่งคืนเงินเหลือจ่าย (ถ้ามี) ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้ดำเนินโครงการแล้วเสร็จ
วิธีที่ 1 ส่งคืนเป็นเงินสด โดยกรอกรายละเอียดใน Bill Payment พร้อมเงินสด ไปยื่นชำระเงินที่เคาท์เตอร์ ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา (มีค่าธรรมเนียมธนาคาร)
วิธีที่ 2 ส่งคืนเป็นเช็ค (มีค่าธรรมเนียมธนาคาร) สั่งจ่ายในนาม กองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ปัจจุบันไม่มีมาตรการป้องกันการเลือกปฏิบัติ โดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศที่ชัดเจนส่งผลให้บุคคลซึ่งถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศไม่ได้รับ ความคุ้มครองและไม่ได้รับความเป็นธรรมเท่าที่ควร สมควรมีกฎหมายเพื่อกำหนดมาตรการคุ้มครองผู้ถูกเลือกปฏิบัติ โดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ และป้องกันมิให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ซึ่งสอดคล้องกับ หลักการสิทธิมนุษยชนสากลตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคี จึงจำเป็นต้อง ตราพระราชบัญญัตินี้