นับเป็นก้าวสำคัญของความเท่าเทียมทางเพศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเป็นประเทศที่ 3 ของเอเชีย ที่มีการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียม การเกิดขึ้นของสมรสเท่าเทียมไม่เพียงแต่จะอำนวยความประโยชน์ต่อคู่รักเพศเดียวกันทั้งในด้านภาษี กฎหมายประกันสังคม และมรดก แต่รวมถึงการเป็นหลักประกันในการสร้างครอบครัวอีกด้วย

          สาระสำคัญของสมรสเท่าเทียม คือ เพื่อให้บุคคล 2 คนไม่ว่าเพศใด สามารถทำการหมั้นและสมรสได้โดยแก้ไขจากกฎหมายสมรสที่ใช้คำว่า       “ฝ่ายชาย ฝ่ายหญิง” แก้ไขเป็น “บุคคลทั้ง 2 ฝ่าย” และสถานะหลังการจดทะเบียนสมรส จาก “สามีภริยา” แก้เป็น “คู่สมรส” รวมทั้งการแก้ไขเพิ่มเติมในบทบัญญัติอื่น ซึ่งจะทำให้บุคคลนั้นมีสิทธิ หน้าที่ สถานะทางครอบครัวเท่าเทียมกับคู่สมรสชายหญิง[1]

          โดยการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมสามารถจดได้ตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม 2568 เส้นทางของสมรสเท่าเทียมในประเทศไทยส่วนหนึ่งมาจากการผลักดันของทุกฝ่าย นับเป็นก้าวสำคัญของการเกิดความเท่าเทียมทางเพศในสังคมไทย จึงจะขอสรุปจุดเริ่มต้นของสมรสเท่าเทียม จนถึงวันประกาศใช้กฎหมายฉบับนี้

          (1) ปี 2544 รัฐบาลในสมัยนายกทักษิณ ชินวัตร เริ่มเสนอแนวคิดให้คนรักเพศเดียวกันสามารถจดทะเบียนสมรสได้ตามกฎหมาย แต่ก็เกิดกระแสสังคมต่อต้านและไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรง เรื่องนี้จึงถูกปัดตกไป

          (2) ปี 2555 มีคู่รักเพศหลากหลายต้องการจดทะเบียนสมรส แต่ถูกปฏิเสธ จึงมีการร้องเรียนไปยังหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง

          (3) ปี 2556 รัฐบาลในสมัยนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีความพยายามให้มีกฎหมายรับรองคู่รักเพศเดียวกันอีกครั้งตามข้อเสนอของประชาชนมีการยื่นเสนอร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิตเพื่อให้ผ่านการพิจารณาโดยสภาผู้แทนราษฎร แต่ไม่สำเร็จ ทั้งนี้ ร่างดังกล่าวถูกวิจารณ์ว่า ไม่ได้มีการครอบคลุมสิทธิประโยชน์และสวัสดิการเท่ากับคู่รักชาย-หญิง

          (4) ปี 2557 เกิดรัฐประหาร การผลักดันร่าง พ.ร.บ.นี้ จึงยุติลง

          (5) ปี 2563 – 2566 รัฐบาลในสมัยของนายกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีการเคลื่อนไหวจากภาคประชาชนและพรรคการเมือง ขณะเดียวกันกระแส  ทั่วโลกได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่อง ‘สมรสเท่าเทียม’ และสังคมไทยในปัจจุบันมีการพูดถึงเรื่องความเท่าเทียมทางเพศอย่างกว้างขวาง

          (6) พรรคก้าวไกล โดย ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ เสนอ ร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ต่อสภาฯ และได้รับการถูกบรรจุวาระแรกในปี 2565 ซึ่งรัฐบาลเองก็จัดทำกฎหมายอีกฉบับ คือ ร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต หน่วยงานเจ้าภาพคือกระทรวงยุติธรรม ที่มี สมศักดิ์ เทพสุทิน สังกัดพรรคพลังประชารัฐ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แม้ว่า พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมจะผ่านวาระแรกไปแล้ว แต่สุดท้ายก็ถูกค้างในสภาฯ ไม่สามารถพิจารณาได้ครบ 3 วาระ เนื่องจากปัญหาสภาล่มบ่อยและถูกวาระแทรกวาระ

          (7) หลังมีรัฐบาลใหม่ วันที่ 21 ธันวาคม 2566 ร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมถูกหยิบยกเข้าสภาฯ อีกครั้ง   โดยครั้งนี้สภาฯ รับร่างไว้ 4 ร่าง โดยสภาฯ ได้ตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) เพื่อพิจารณาศึกษารายละเอียดข้อกฎหมายทั้งหมด ทั้งนี้ มีการพิจารณาแค่ 3 ฉบับ ได้แก่ ฉบับของพรรคก้าวไกล            ภาคประชาชน และรัฐบาล[1]

  1. ร่าง พ.ร.บ. ฉบับ คณะรัฐมนตรี (ครม.)
  2. ร่าง พ.ร.บ. ฉบับ ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ พรรคก้าวไกล
  3. ร่าง พ.ร.บ. ฉบับ อรรณว์ ชุมาพร กับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 11,611 คน
  4. ร่าง พ.ร.บ. ฉบับ สรรเพชญ บุญญามณี พรรคประชาธิปัตย์

          โดยสามารถเปรียบเทียบร่างของทั้ง 4 พ.ร.บ. ในประเด็นต่าง ๆ ได้ดังนี้

                (1) ผู้รักษาการตามร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม: พรรคก้าวไกล : รัฐมนตรีมหาดไทย / ภาคประชาชน : รัฐมนตรีมหาดไทย/ รัฐบาล : นายกรัฐมนตรี / และพรรคประชาธิปัตย์ : รัฐมนตรีมหาดไทย

                (2) อายุขั้นต่ำในการจดทะเบียน: พรรคก้าวไกล : 18 ปี / ภาคประชาชน : 18 ปี / รัฐบาล : 17 ปี / และพรรคประชาธิปัตย์ : 17 ปี

                (3) สถานะหลังจดทะเบียนสมรส: พรรคก้าวไกล : คู่สมรส / ภาคประชาชน : คู่สมรส / รัฐบาล : คู่สมรส / และพรรคประชาธิปัตย์ : คู่สมรส

                (4) จัดการทรัพย์สินร่วมกัน, รับบุตรบุญธรรมร่วมกัน, รับมรดกจากคู่สมรส, และการตัดสินใจทางการแพทย์: พรรคก้าวไกล : ทำได้ /          ภาคประชาชน : ทำได้ / รัฐบาล : ทำได้ / และพรรคประชาธิปัตย์ : ทำได้

                (5) ใช้นามสกุลคู่สมรส: ร่างของพรรคก้าวไกล ภาคประชาชน และพรรคประชาธิปัตย์ อนุญาตให้ใช้นามสกุลของคู่สมรสได้ แต่ของรัฐบาล  ไม่ได้ระบุ

          (8) วันที่ 27 มีนาคม 2567 มีการพิจารณาวาระที่ 2 และ 3 สภาฯ พิจารณาร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ที่ กมธ. พิจารณาเสร็จแล้ว ที่ประชุมสภา   มีมติ เห็นด้วย 400 เสียง ไม่เห็นด้วย 10 เสียง งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนนเสียง 3 เสียง

          (9) 18 มิถุนายน 2567 การลงมติของ สว. โดยที่ประชุมวุฒิสภาเห็นชอบกับกฎหมายสมรสเท่าเทียม    ด้วยคะแนนเห็นด้วย 130 ไม่เห็นด้วย 4 และงดออกเสียง 18 เสียง โดยจะมีประกาศบังคับใช้ภายใน 120 วันหลังจากนี้ และนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้นำร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อประกาศใช้ต่อไปเมื่อเห็นว่าไม่มีประเด็นที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ

          (10) สมรสเท่าเทียมจะมีผลใช้ตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม 2568 เป็นต้นไป[1] [2]

โดยในวันที่ 23 มกราคม 2568 จะมีบริการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมทั่วประเทศ โดยสำนักทะเบียน 878 อำเภอ และ 50 เขตในกรุงเทพมหานคร[3] และยังมีการจัดงานสมรสเท่าเทียม (Marriage Equality Day) ณ พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน จัดโดย นฤมิตไพร์ด ร่วมกับมูลนิธิเพื่อสิทธิและความเป็นธรรมทางเพศ รวมถึงภาคีเครือข่ายที่มีส่วนช่วยผลักดัน พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม[4] ข้อมูลจากบางกอกไพรด์พบว่าการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมวันแรก มีคู่รักจากทั่วประเทศรวมกว่า 2,799 คู่ มียอดรวมของคู่รักเพศเดียวกันรวม 1,839 คู่ และมีข้อมูลรายงานว่าคู่รักเพศเดียวกันที่มาจดทะเบียนมากที่สุดเป็นคู่รักหญิง-หญิง[5] นับเป็นจุดเริ่มต้นของความเท่าเทียมทางเพศในประเทศไทย ซึ่งยังมีกฎหมายอื่นที่ยังคงต้องจับตามองต่อไป

[1] รัฐบาลไทย.  (2567). ประกาศแล้ว กฎหมายสมรสเท่าเทียม มีผลบังคับใช้ 22.. 68”สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2568, ค้นจาก https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/88411                                                                                 [2] SPRING.  (2566). เปิด พ...สมรสเท่าเทียม 4 ฉบับ แตกต่างกันอย่างไรบ้างก่อนเข้าสภา 21 .. 66”สืบค้นเมื่อ 16 มกราคม 2568, ค้นจาก https://www.springnews.co.th/news/infographic/846256                                                             [3]KTC.  (2568).  สมรสเท่าเทียมคืออะไร ?สิทธิของชาว LGBTQIA+ อัปเดตปี 2568”สืบค้นเมื่อ 15 ธันวาคม 2568, ค้นจาก https://www.ktc.co.th/article/lifestyle/family-parenting/marriage-equality                                                             [4]กองบรรณาธิการ(2567).  ย้อนรอยเส้นทาง23 ปี กว่าจะมีกฎหมายสมรสเท่าเทียม เพื่อให้ ทุกเพศเท่ากัน.  สืบค้นเมื่อ 15 ธันวาคม 2568,ค้นจาก https://plus.thairath.co.th/topic/politics&society/104527                                                       [5] ฐานเศรษฐกิจ.  (2568).  ผ่า กฎหมายสมรสเท่าเทียมประตูสู่ชีวิตคู่ LGBTQ+ ชาติแรกในอาเซียนสืบค้นเมื่อ 16 มกราคม 2568, ค้นจาก https://www.thansettakij.com/economy/617095#google_vignette                                                   [6] POSTTODAY.  (2568).  ตั้งตารอ สปีชประวัติศาสตร์อาเซียนของนายกฯ อิ๊งค์ ในงาน สมรสเท่าเทียม’”สืบค้นเมื่อ 16 มกราคม 2568, ค้นจาก https://www.posttoday.com/smart-life/718237                                                                    [7] Sanook.  (2568). สมรสเท่าเทียมวันแรก เปิดสถิติจดทะเบียนทั่วประเทศ 2,799คู่ คู่รักหญิงหญิงมากสุดสืบค้นเมื่อ 24 มกราคม 2568, ค้นจาก https://www.sanook.com/news/9704390